ซื้อบ้านต้องเตรียมอะไรบ้าง? เตรียมตัวอย่างไรถึงจะมีบ้านในฝันได้

หลายคนอยากมีบ้านสักหลังไว้เป็นที่อยู่อาศัยและชาร์จพลังในแต่ละวัน แต่อย่างไรก็ตาม การซื้อบ้านหรือสร้างบ้านนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากที่จะต้องเตรียมตัว เตรียมเอกสาร และเตรียมเงินก้อนใหญ่แล้ว ขั้นตอนระหว่างกำลังรอได้รับบ้านไปจนถึงบ้านเสร็จแล้วก็กินเวลายาวนานและต้องเรียบเร่งในการตัดสินใจ ดังนั้นมาดูกันเลยว่า การซื้อบ้านต้องเตรียมอะไรบ้าง? จะต้องเตรียมเงินเท่าไหร่? เพื่อที่จะมีบ้านในฝันได้

ซื้อบ้านต้องเตรียมอะไรบ้าง?

1.เช็กความพร้อมด้านการเงินของตนเองก่อนจะซื้อบ้าน

เพราะการซื้อบ้านในฝันถือเป็นการใช้เงินก้อนใหญ่มากๆ การตรวจสอบความพร้อมทางด้านการเงินจึงจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่ค่าบ้านแต่ยังรวมถึงค่าตกแต่ง ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าจ้างคนขนของ ค่าจ้างค่าตรวจบ้าน ค่าโอนกรรมสิทธิ์ รวมถึงประกันภัยต่างๆ หรือค่าใช้จ่ายที่อาจตามมา ดังนั้นก่อนที่จะซื้อบ้านควรตรวจสอบความพร้อมทางด้านการเงิน ซึ่งจากคำถามว่าซื้อบ้านหลังแรก ต้องมีเงินเท่าไหร่? คำตอบคือควรมีอย่างน้อย 5-20% ของมูลค่าบ้านไว้สำหรับเป็นเงินดาวน์บ้าน รวมถึงมีวินัยทางการเงินที่ดี กล่าวคือมีประวัติทางการเงินหรือเครดิตบูโรที่ดี มีการชำระค่าใช้จ่ายตรงเวลา ไม่มีการค้างชำระ รวมถึงมีภาระหนี้สินไม่ถึง 40% ของเงินเดือน โดยทั่วไปจะมีหลักพิจารณาง่ายๆ เกี่ยวกับเงินเดือนและวงเงินที่กู้ได้ คือ เงินเดือน 30,000 อาจกู้ได้สูงสุด 3,000,000 บาท อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถกู้ได้เต็มจำนวน เพราะยอดกู้ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระคืน ความมั่นคงในหน้าที่การงานหรือบริษัท ฯลฯ หากต้องการกู้เพิ่มหรือวงเงินที่ได้น้อยก็อาจจะต้องหาคนกู้ร่วมเพื่อเพิ่มวงเงิน

2.เลือกบ้านที่ถูกใจและทำเลที่ชอบ

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างสำหรับการซื้อบ้าน คือ การสำรวจความต้องการว่าในแต่ละโครงการบ้านมีการออกแบบ พื้นที่ภายในบ้าน พื้นที่ใช้สอยมากน้อย เหมาะกับความชื่นชอบของเราหรือไม่ รวมถึงทำเลที่ตั้งของตัวบ้านเข้าออกสะดวก ไม่อยู่ลึกหรือซับซ้อนเกินไป ไม่อยู่ในจุดที่มีปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้งหรือใกล้บริเวณนั้นเพื่อให้การเดินทางสะดวกและลดความเสี่ยงที่อาจตามมาได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงจุดที่รถติดตอนเช้าตอนเย็น โดยอาจทดลองขับรถไปสำรวจโครงการในหลากหลายช่วงเวลา เพื่อดูการจราจรในเวลาเหล่านั้นหรืออาจลองสอบถามจากคนในพื้นที่จริงว่าบริเวณนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร หลังจากที่ลองพิจารณาดูแล้ว หากพบว่าบ้านหลักนี้เหมาะและคุ้มค่ากับจำนวนเงินก็สามารถที่จะติดต่อเพื่อคุยกับพนักงานขายตามโครงการเหล่านั้นได้เลย

3.ตรวจสอบเอกสารต่างๆของตนเอง และดูเรื่องการขอสินเชื่อให้ดี

ข้อดีของการซื้อบ้านกับโครงการ คือ จะมีเจ้าหน้าที่ค่อยประสานงานทำสัญญาจองและสัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อขอยื่นกู้สินเชื่อบ้าน ทำให้สะดวกกว่าการไปติดต่อหรือประสานงานเอง โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลา 1-3 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร โดยจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจและประเมินราคาบ้านและที่ดินและพิจารณาวงเงินให้ เมื่อพิจารณาวงเงินทั้งหมดแล้วก็สามารถทำชำระเงินแก่โครงการ โดยทั่วไปแล้วธนาคารมักจะพิจารณาวงเงินเพิ่มเติมสำหรับใช้ในการตกแต่งภายในบ้านด้วยก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้ นอกจากนี้การชำระเงินกู้บ้านนั้นยังสามารถนำดอกเบี้ยไปลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลได้อีกด้วย สำหรับในกรณีผู้ที่มีเงินสดและไม่ต้องการกู้เงิน สามารถที่จะข้ามขั้นการขอสินเชื่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของโครงการก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินสดในการซื้อบ้าน

4.การทำประกันภัยจำเป็นต่อการซื้อบ้านหรือไม่

ซื้อบ้านต้องเตรียมอะไรบ้าง? ยิ่งสำหรับคนที่ต้องขอกู้เงินควรที่จะต้องทำประกันเสริม โดยมีตัวเลือกทั้งประกันชีวิตคุ้มครองหนี้สินบ้าน เพื่อเกิดกรณีไม่คาดฝันระหว่างขอสินเชื่อ บริษัทประกันมอบเงินชดเชยในการชำระหนี้ที่เหลือแก่ธนาคารได้ ซึ่งประกันบ้านลักษณะนี้สามารถลดหย่อนภาษีได้ในบางแผน นอกจากนี้ยังมีประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยที่จำเป็นหรือบังคับจะต้องทำในการขอกู้ เพราะหากเกิดเหตุไฟไหม้หรือความเสียหายจากไฟก็จะมีประกันส่วนนี้ในการชดเชยความเสียดายได้ โดยควรจะมีวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 70% ของมูลค่าบ้านและทรัพย์สิน

โดย Tune Protect นำเสนอประกันบ้านหรือประกันสำหรับที่อยู่อาศัย โดยมีประเภทที่ให้ความคุ้มครองทั้ง myHomeSmart ประกันบ้านครบวงจรที่เลือกวงเงินคุ้มครองได้สูงสุด 20 ล้านบาท* คุ้มครองทั้งการถูกลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์ เงินสดหรือของมีค่าสูญหาย ไฟไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร และความเสียหายต่อทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังให้ความคุ้มครองค่าเช่าที่อยู่อาศัยชั่วคราวอีกด้วย เบี้ยสบาย เริ่มต้นแค่ 3 บาทต่อวัน หรือจะเลือกเป็นประกันอัคคีภัย myHomePlus ที่ให้ความคุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติทั้งไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยจากลมพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือคลื่นใต้น้ำ สึนามิ หรือภัยจากลูกเห็บสูงสุด 300,000 บาท จ่ายเบี้ยสบายเพียง 1 บาทต่อวัน* ดูรายละเอียดและเปรียบเทียบเพิ่มเติมที่นี่

5.การรับเอกสารโอนกรรมสิทธิ์

การโอนกรรมสิทธิ์ คือ การโอนความเป็นเจ้าของให้แก่กันสำหรับการซื้อบ้าน ที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์แล้วนั้น จำเป็นต้องดำเนินการต่อหน้าเจ้าหน้าที่พนักงาน ทำให้เมื่อเราทำการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องไปกรมที่ดินเพื่อทำเรื่องในการโอนกรรมสิทธิ์ สำหรับผู้ที่ยื่นกู้กับธนาคารแล้วนั้น เจ้าของกรรมสิทธิ์จะตกเป็นของธนาคารเมื่อเราชำระหนี้สินครบถ้วนก็จะต้องไปถ่ายถอน ในขณะที่ผู้ซื้อเงินสดก็จะได้รับการโอนกรรมสิทธิ์ได้โดนตรง

จะเห็นได้ว่าในการซื้อบ้านนั้นมีหลายสิ่งที่ต้องเตรียมอย่างมาก แต่หากเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถวางแผนและศึกษารายละเอียดต่างๆ ได้ สำหรับใครที่อยากมองหาความคุ้มครองที่มากกว่าแค่ประกันอัคคีภัย ประกันบ้านก็จะให้ความคุ้มครองที่มากกว่า เพราะไม่ใช่เพียงแค่ไฟเท่านั้นที่มอบความเสียหายให้กับบ้านได้ แต่ยังมีภัยพิบัติอื่นๆ เช่น น้ำท่วม ลมพายุ หรือลูกเห็บที่ก่อให้เกิดความเสียหายได้อีกด้วย

ซื้อประกันบ้านต้องทำอย่างไรบ้าง? ควรศึกษาและเปรียบเทียบแผนประกันบ้านและกรมธรรม์ของแต่ละเจ้าให้ครบถ้วนว่าตอบโจทย์ความต้องการหรือไม่ เปรียบเทียบความคุ้มครองและเงินทุนประกันว่าเหมาะสมตามมูลค่าของที่อยู่อาศัยและทรัพย์สิน โดยสามารถดูรายละเอียดประกันบ้านจาก Tune Protect

หากท่านใดสนใจทำประกันเดินทางกับเรา สามารถเช็กข้อมูลแผนประกันเพิ่มเติม และรายละเอียดรับความคุ้มครองได้ที่เว็บไซต์ tuneprotect.co.th

ติดต่อ Call center: 1183 หรือแอด Line@: @tuneprotectth ได้เช่นกัน

*ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขของเอกสารเสนอขายก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด